การประมวลผล
จุดมุ่งหมายการประมวลผล
1. เพื่อให้การประมวลผลนั้นชัดเจนเข้าใจง่าย การใช้วิธีนี้จะทำให้ผู้วิเคราะห์ได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนในการประมวลผลการทำงาน
2. เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้องในการอธิบายในรูปแบบเฉพาะของการประมวลผลระหว่างนักวิเคราะห์ระบบและโปรแกรมเมอร์
3. เพื่อตรวจสอบการออกแบบระบบ โดยการประมวลผลนั้นจะถูกต้องหรือไม่ด้านข้อมูลที่ป้อนเข้าเครื่อง และออกการรายงานทางหน้าจอ
ประเภทของการประมวลผลที่ไม่ต้องมีการอธิบาย
ประเภทของการประมวลผลที่ไม่ต้องมีการอธิบายสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. การประมวลผลที่ใช้การแทนที่ทางกายภาพในส่วนของการป้อนข้อมูลเข้าระบบหรือการออกรายงานที่เป็นรูปแบบไม่ซับซ้อน เช่น การอ่านค่า การเขียนค่า เป็นต้น
2. การประมวลผลที่แทนที่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลซึ่งจะมีรายละเอียดในพจนานุกรมข้อมูล
3. การประมวลผลที่เป็นการประมวลผลในลักษณะที่เป็นการดึง Function ที่มีอยู่เดิมหรือเป็นการนำโปรแกรมย่อยมาใช้
จุดมุ่งหมายการประมวลผล
1. เพื่อให้การประมวลผลนั้นชัดเจนเข้าใจง่าย การใช้วิธีนี้จะทำให้ผู้วิเคราะห์ได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนในการประมวลผลการทำงาน
2. เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกต้องในการอธิบายในรูปแบบเฉพาะของการประมวลผลระหว่างนักวิเคราะห์ระบบและโปรแกรมเมอร์
3. เพื่อตรวจสอบการออกแบบระบบ โดยการประมวลผลนั้นจะถูกต้องหรือไม่ด้านข้อมูลที่ป้อนเข้าเครื่อง และออกการรายงานทางหน้าจอ
ประเภทของการประมวลผลที่ไม่ต้องมีการอธิบาย
ประเภทของการประมวลผลที่ไม่ต้องมีการอธิบายสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. การประมวลผลที่ใช้การแทนที่ทางกายภาพในส่วนของการป้อนข้อมูลเข้าระบบหรือการออกรายงานที่เป็นรูปแบบไม่ซับซ้อน เช่น การอ่านค่า การเขียนค่า เป็นต้น
2. การประมวลผลที่แทนที่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลซึ่งจะมีรายละเอียดในพจนานุกรมข้อมูล
3. การประมวลผลที่เป็นการประมวลผลในลักษณะที่เป็นการดึง Function ที่มีอยู่เดิมหรือเป็นการนำโปรแกรมย่อยมาใช้
คำอธิบายการประมวลผล
คำอธิบายการประมวลผล “Process Description” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Minispecs”
จะอธิบาย รายละเอียดการทำงานภายในโพรเซสหนึ่ง ๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ โพรเซสนี้เปลี่ยนอินพุตเป็นเอาต์พุตอย่างไร โพรเซสระดับล่างสุดใน DFD จะต้องเขียนคำอธิบายว่ามันทำงานอย่างไร
คำอธิบายการประมวลผลสามารถกำหนดข้อมูลของระบบไว้ในพจนานุกรมข้อมูลและแบ่งการทำงานเป็นหน้าที่ต่างๆ ย่อยลงได้ด้วยแผนภาพกระแสข้อมูล
คำอธิบายการประมวลผล “Process Description” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Minispecs”
จะอธิบาย รายละเอียดการทำงานภายในโพรเซสหนึ่ง ๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ โพรเซสนี้เปลี่ยนอินพุตเป็นเอาต์พุตอย่างไร โพรเซสระดับล่างสุดใน DFD จะต้องเขียนคำอธิบายว่ามันทำงานอย่างไร
คำอธิบายการประมวลผลสามารถกำหนดข้อมูลของระบบไว้ในพจนานุกรมข้อมูลและแบ่งการทำงานเป็นหน้าที่ต่างๆ ย่อยลงได้ด้วยแผนภาพกระแสข้อมูล
วิธีการอธิบายการประมวลผล
- ประโยคโครงสร้าง (Structure Sentences)
- การตัดสินใจแบบตาราง(Decision Tables)
- ผังต้นไม้(Decision Tree)
นักวิเคราะห์ระบบจะเลือกใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือใช้ปนกันก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แต่ไม่ว่าจะเขียนด้วยวิธีใด ๆ เมื่อเขียนแล้วควรจะมีคุณสมบัติดังนี้
- เขียนแล้วคำอธิบายนั้นควรจะใช้สื่อสารกับผู้อื่นที่เกี่ยวข้องในระบบได้ง่าย ผู้ที่เกี่ยวข้องอาจจะเป็นผู้ใช้ผู้จัดการ ผู้ตรวจสอบ
- เขียนแล้วคำอธิบายนั้นสามารถนำมาตรวจสอบความถูกต้องกับผู้ใช้ได้ง่ายการเขียนเป็นประโยคโครงสร้างอาจจะไม่เหมาะสมถ้าต้องนำมาตรวจสอบกับผู้ใช้เพราะว่า คำอธิบายนั้นจะยาวแบะ คำอธิบายเกี่ยวกับเงื่อนไข หรือการทำงานซ้ำก็เขียนไม่สะดวก ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขหรือการทำงานซ้ำก็เขียนไม่สะดวก ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขที่มี AND,OR หรือ NOT
โดยทั่วไปแล้ววิธีการเขียนคำอธิบายแบบประโยคโครงสร้างเป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดควรจะเลือกใช้วิธีเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร อาจจะมากกว่าหนึ่งวิธีก็เป็นไปได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
- ความชอบของผู้ใช้
- ความชอบของผู้เขียน
- ลักษณะการทำงานของโพรเซสเซอร์
ประโยคโครงสร้าง (Structure Sentences)
วิธีนี้ใช้การอธิบายเป็นประโยคเขียนให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างคล้าย ๆ การเขียนโปรแกรมโครงสร้าง การเขียนประโยคโครงสร้างอาจเลือกใช้คำศัพท์ต่าง ๆ กันดังนี้
วิธีนี้ใช้การอธิบายเป็นประโยคเขียนให้มีลักษณะเป็นโครงสร้างคล้าย ๆ การเขียนโปรแกรมโครงสร้าง การเขียนประโยคโครงสร้างอาจเลือกใช้คำศัพท์ต่าง ๆ กันดังนี้
- ใช้คำกริยาที่เมื่อทำแล้วมีความหมายว่าได้ผลลัพธ์บางอย่างออกมา เช่น “คำนวณ”
สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือ “เปรียบเทียบ” สิ่งนั้นกับสิ่งนี้ เป็นต้น คำกริยาที่อาจจะเลือกใช้ได้เช่น
GET COMPUTE
PUT DELETE
FIND VALIDATE
ADD MOVE
SUBTRACT REPLACE
MULTIPLR SET
DIVIDE SORT เป็นต้น
GET COMPUTE
PUT DELETE
FIND VALIDATE
ADD MOVE
SUBTRACT REPLACE
MULTIPLR SET
DIVIDE SORT เป็นต้น
- ใช้ชื่อข้อมูลเป็นคำนามในประโยค ตัวอย่างเช่น วันชำระใบทวงหนี้ รายงานเพื่อเตรียมเงินสด เป็นต้น
- ใช้คำศัพท์ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลเช่น “และ” “หรือ” “เท่ากับ” “ไม่เท่ากับ” “มากกว่า” และ “น้อยกว่า” เป็นต้น
- ใช้คำที่บอกการเคลื่อนที่ของข้อมูลคล้ายกับคำที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมได้แก่
1. ถ้า........มิฉะนั้น(if…….else…….)
2. กรณี......(case)
3. ทำซ้ำ(Do3…….loop)
4. ทำตามลำดับ (Sequence)
2. กรณี......(case)
3. ทำซ้ำ(Do3…….loop)
4. ทำตามลำดับ (Sequence)
สรุปประโยคโครงสร้าง ประโยคโครงสร้างและตารางตัดสินใจเป็นเครื่องมือที่ใช้อธิบายการทำงานภายในของ PROCESS ควรจะเลือกวิธีเขียนอธิบายการทำงานที่ดีและเหมาะสมกับงานนั้น ๆ
วิธีการตัดสินใจแบบตาราง (Decision Table)
การตัดสินใจแบบตารางเป็นตาราง 2 มิติโดยที่แถวตั้งด้านซ้ายเป็นเงื่อนไขและแถวนอนเป็นรายละเอียดของเงื่อนไขที่ทั้งหมดก่อน ตามด้วยกิจกรรมทั้งหมดที่มีในการประมวลผลนั้น และช่างถัดมาคือ กฎต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดผลในการกระทำกิจกรรมนั้น
การตัดสินใจแบบตารางเป็นตาราง 2 มิติโดยที่แถวตั้งด้านซ้ายเป็นเงื่อนไขและแถวนอนเป็นรายละเอียดของเงื่อนไขที่ทั้งหมดก่อน ตามด้วยกิจกรรมทั้งหมดที่มีในการประมวลผลนั้น และช่างถัดมาคือ กฎต่าง ๆ ที่เป็นตัวกำหนดผลในการกระทำกิจกรรมนั้น
รูปหลักการเขียนตารางตัดสินใจ (Decision Table)
ขั้นตอนการสร้างตารางตัดสินใจ(Decision Table)
ขั้นตอนการสร้างตารางตัดสินใจ(Decision Table)
- พิจารณาว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้ในการตัดสินใจ และดูเงื่อนไขในการตัดสินใจว่ามีเงื่อนไขใดบ้าง เขียนลงในส่วนบนซ้ายมือของตารางเรียงไปตามแนวนอน
- พิจารณากิจกรรมต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้น เขียนลงในตารางการตัดสินใจด้านซ้ายมือด้านล่างเรียงไปตามแนวนอน
- ตัดสินใจถึงความสัมพันธ์ของเงื่อนไขที่มีผลต่อกิจกรรมซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นกฎที่ใช้ตัดสินใจให้เกิดการกระทำกิจกรรมนั้น เขียนเป็นกฎแต่ละข้อเรียงไปในแนวตั้ง โดยใส่ “ใช่ (Y) ”เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขนั้นให้ตรงกับแถวของเงื่อนไขนั้น และใส่ “ไม่ (N)” ในกรณีที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนั้นให้ตรงกับแถวของเงื่อนไขนั้น ซึ่งจะสามารถคำนวณได้เป็น 2N โดยที่ N คือจำนวนเงื่อนไข
- ใส่กากบาท(?) ให้ตรงกันกับกิจกรรมที่จะต้องกระทำ (Action) เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขหรือกฎนั้น ถ้าไม่เกิดการกระทำกับกิจกรรมใด ให้ขีดเส้นแทน
ภาพที่ 9.1 แสดงตัวอย่าง ตารางการตัดสินใจ
ผังต้นไม้(Decision Tree)
วิธีนี้เป็นการใช้ผังต้นไม้ในการเขียนเส้นทางการตัดสินใจโดยจะเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้โดยมีรากอยู่ทางซ้ายมือ และกิ่งอยู่ทางขวามือ ซึ่งจะคล้ายกับตารางการตัดสินใจ แต่ต่างกันที่รูปแบบเท่านั้น
ขั้นตอนการสร้างผังต้นไม้(Decision Tree)
การสร้างผังต้นไม้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
วิธีนี้เป็นการใช้ผังต้นไม้ในการเขียนเส้นทางการตัดสินใจโดยจะเหมือนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้โดยมีรากอยู่ทางซ้ายมือ และกิ่งอยู่ทางขวามือ ซึ่งจะคล้ายกับตารางการตัดสินใจ แต่ต่างกันที่รูปแบบเท่านั้น
ขั้นตอนการสร้างผังต้นไม้(Decision Tree)
การสร้างผังต้นไม้จะมีลักษณะดังต่อไปนี้
- เขียนเริ่มต้นจากรากแตกกิ่งไปตามจำนวนเงื่อนไขที่เป็นไปตามกฎ โดยพิจารณาเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นในการตัดสินใจเริ่มแรก
- แตกกิ่งของเงื่อนไขแรกนั้นเป็นเงื่อนไขถัดไป
- แตกกิ่งของเงื่อนไขต่อไป จนกระทั่งหมดเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้น
- เขียนกิ่งของกิจกรรมที่จะต้องกระทำ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขจากรากไปปลายกิ่งเงื่อนไขนั้น
เทคนิคในการเลือกวิธีการเขียนอธิบายการประมวลผล
1. เลือกวิธีประโยคโครงสร้างภาษา(Structure Language)เมื่อ
- การประมวลผลนั้นเป็นกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่มีการกระทำซ้ำ
- ต้องการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับนักวิเคราะห์ระบบในการอธิบายการประมวลผลวิธีนี้จะดีที่สุด
2. เลือกวิธีใช้ตารางการตัดสินใจ(Decision Table)เมื่อ
- เงื่อนไข กิจกรรมที่จะกระทำ และกฎในการประมวลผลมีความซับซ้อนมาก
- เมื่อการประมวลผลนั้นมีกฎต่าง ๆ ที่ขัดแย้ง และเกิดกรณีฟุ่มเฟือยได้ วิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
3. เลือกวิธีผังต้นไม้ (Decision Table)เมื่อ
- การเกิดเงื่อนไขต่าง ๆ และการกระทำกิจกรรมเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง
- กรณีที่มีเงื่อนไขหลากหลายแบบ ในการแตกกิ่งที่แตกต่างกันไปคือเงื่อนไขไม่จำกัดเป็นต้น
1. เลือกวิธีประโยคโครงสร้างภาษา(Structure Language)เมื่อ
- การประมวลผลนั้นเป็นกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่มีการกระทำซ้ำ
- ต้องการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับนักวิเคราะห์ระบบในการอธิบายการประมวลผลวิธีนี้จะดีที่สุด
2. เลือกวิธีใช้ตารางการตัดสินใจ(Decision Table)เมื่อ
- เงื่อนไข กิจกรรมที่จะกระทำ และกฎในการประมวลผลมีความซับซ้อนมาก
- เมื่อการประมวลผลนั้นมีกฎต่าง ๆ ที่ขัดแย้ง และเกิดกรณีฟุ่มเฟือยได้ วิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้
3. เลือกวิธีผังต้นไม้ (Decision Table)เมื่อ
- การเกิดเงื่อนไขต่าง ๆ และการกระทำกิจกรรมเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง
- กรณีที่มีเงื่อนไขหลากหลายแบบ ในการแตกกิ่งที่แตกต่างกันไปคือเงื่อนไขไม่จำกัดเป็นต้น
แผนภาพกระแสข้อมูล
ภาพที่ 9.3 แสดงแผนภาพกระแสข้อมูล
แผนภาพกระแสข้อมูล (DFD) เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเขียนแบบระบบใหม่
โดยเฉพาะกับระบบที่ “หน้าที่”
โดยเฉพาะกับระบบที่ “หน้าที่”
ของระบบมีความสำคัญและมีความสลับซับซ้อนมากกว่าข้อมูลที่ไหลเข้า
กฎการเขียนผัง DFD ที่ถูกต้องมีดังนี้
- ข้อมูลที่เคลื่อนออกจากแฟ้มข้อมูลจะต้องมีการนำข้อมูลนั้นเข้าสู่แฟ้มข้อมูลก่อน
- ข้อมูลที่เคลื่อนที่เข้าสู่แฟ้มข้อมูลสุดท้ายแล้ว จะต้องเป็นข้อมูลที่เคยนำเข้าสู่กระบวนการนั้น
- ข้อมูลที่เคลื่อนออกจากกระบวนการ จะต้องเป็นข้อมูลที่เคยนำเข้าสู่กระบวนการนั้นหรือไม่ก็ต้องจัดทำขึ้นภายในกระบวนการนั้น
- ข้อมูลที่เคลื่อนเข้าสู่กระบวนการจะต้องถูกส่งออกหรือไม่ก็ถูกใช้ประมวลผลภายในกระบวนการนั้น
- เอนทิตี้ต้นทาง/ปลายทาง ติดต่อกันเองไม่ได้ ต้องมีกระบวนการอยู่ ณ ข้างใดข้างหนึ่งของเส้นทางเชื่อมต่อข้อมูล
- แฟ้มข้อมูลจะติดต่อกันเองโดยตรงไม่ได้ เช่นเดียวกันกับ เอนทิตี้ต้นทางปลายทาง
- เอนทิตี้และแฟ้มข้อมูลจะติดต่อกันโดยตรงไม่ได้จะต้องผ่านกระบวนการ
ตัวอย่างระบบงานห้องสมุด
การพัฒนาโปรแกรมระบบงานห้องสมุด ได้ใช้แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) ในการวิเคราะห์ระบบ แผนภาพกระแสข้อมูลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ
การพัฒนาโปรแกรมระบบงานห้องสมุด ได้ใช้แผนภาพกระแสข้อมูล (Data Flow Diagram) ในการวิเคราะห์ระบบ แผนภาพกระแสข้อมูลแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ
- แผนภาพกระแสข้อมูลระบบสูงสุด (Context Diagram) แสดงเส้นทางของข้อมูลที่เข้าและออกจากแหล่งที่มีผลกระทบต่อระบบ
- แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่ 1 (Data Flow Level 1 ) แสดงกระบวนการทำงานหลักของระบบ ข้อมูลที่เข้าและออกจากกระบวนการทำงานต่าง ๆ
- แผนภาพกระแสข้อมูลระดับที่ 2 (Data Flow Level 2 )แสดงกระบวนการทำงานโดยจะแสดงรายละเอียดของกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในแผนภาพกระแสข้อมูลระดับแผนภาพแสดงการไหลของข้อมูลหรือ DFD สามารถแสดงได้ดังนี้
ภาพที่ 9.4 แผนภาพกระแสข้อมูลระดับ Context Diagram ของระบบงานห้องสมุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น